1) เหมาะที่จะปลูกในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง จึงนำเสนอให้เป็นพันธุ์แนะนำ พร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรในหมู่บ้านปลูกเป็นอาชีพ เพราะสภาพดินและน้ำดี อุณหภูมิเหมาะสม ต่อมาตนเองจึงได้นำงานวิจัยมาต่อยอด ศึกษาเรื่องผลกระทบด้านอุณหภูมิ สภาพภูมิประเทศ ที่ส่งต่อการออกดอกและติดผล "ผลการวิจัยลิ้นจี่ นพ. 1 มีลักษณะเฉพาะถิ่นที่โดดเด่นคือ ผลดก ลูกโต เปลือกสีแดงสด รสชาติหวานอมเปรี้ยว กรอบ เนื้อแห้ง ที่สำคัญปลูกได้ในภาคอีสาน หากเทียบกับพันธุ์ที่ปลูกในภาคเหนืออย่างฮงฮวย กิมเจ็ง และจักรพรรดิ พบว่าจะไม่ติดผลเนื่องจากพันธุ์เหล่านี้ในช่วงพักตัวเตรียมแทงช่อดอกนั้น อุณหภูมิต้องลดต่ำที่ราว 10 องศาเซลเซียล ขณะที่พันธุ์ นพ. 1 สามารถแทงช่อดอกได้ดีที่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส หากมีสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งติดลูกมาก" นางนิยม เล่า ทว่า เพื่อเปิดประตูความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่ ทางศูนย์จึงเปิดโอกาสให้เข้ามีส่วนร่วมในการทดสอบเทคโนโลยีการผลิตลิ้นจี่ นพ. 1 เพื่อเพิ่มผลผลิต โดยศูนย์ได้ทดลองร่วมแปลงทดสอบเกษตรกร ต. ขามเฒ่า เริ่มจากแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน ทดสอบโดยวิธีของศูนย์วิจัยและวิธีของเกษตรกร ทั้งเรื่องการใส่ปุ๋ยก่อนและหลังการเก็บผลผลิต การตัดแต่งกิ่ง สำหรับวิธีการวิจัยของศูนย์ เริ่มจากหลังเก็บผลผลิตให้ใส่ปุ๋ยคอก 50 กก.
1 ในปัจจุบัน
1 ต้นนี้อายุมากถึงเกือบ 70 ปี ปัจจุบันยังสามารถเก็บผลผลิต และให้ลูกหลานชื่นชมได้ โดยปลูกไว้ข้างบ้านเลขที่ 48 บ้านนาโดน ต. นครพนม ย้อนไปเมื่อปี 2499 ช่วงที่ตนบวชเรียนเป็นสามเณรที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม มีญาติโยมนำลิ้นจี่สายพันธุ์ทางภาคเหนือมาถวายหลวงปู่จันทร์ เขมิโย เจ้าอาวาส พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ตนจึงได้ชิม เห็นว่ามีรสชาติดี จึงเกิดความคิดนำมาปลูกไว้ที่บ้าน จำนวน 4 ต้น ปัจจุบันเหลือเพียงต้นเดียว โดยไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์ดัง นพ. 1 ที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน หลังจากปลูกไว้ประมาณ 10 กว่าปี ก็เริ่มออกผล และมีรสชาติอร่อย.